122/75 หมู่ 5 ต.บางกร่าง,
เมืองนนทบุรี 11000

(02) 125 2242
info@aimsuccess.co.th

การจ่ายค่าจ้าง 75% สำหรับโปรแกรมอี-บีซิเนสพลัส Businessplus Payroll

ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิต-19 กำลังระบาดอย่างต่อเนื่อง คงทำให้พนักงาน เจ้าของกิจการ หรือผู้ที่ประกอบอาชีพโดยทั่วไปได้รับผลกระทบกันทั่วเลยนะครับ โดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่มีความจำเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว จะต้องจ่ายค่าแรงพนักงาน 75% ตามกฎหมายแรงงาน แต่ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดต่อคือ ในระบบคิดเงินเดือนจะประยุกต์ใช้ในกรณีนี้ได้อย่างไร วันนี้ผมจึงมาแนะนำสำหรับกิจการที่ใช้ระบบคิดเงินเดือนของ อี-บีซิเนสพลัส หรือ businessplus payroll มาฝากทุกท่านโดยในตัวอย่างผมขอแบ่งการคิดออกเป็น 2 กรณีนะครับ(อาจไม่เป็นไปตามกฎหมายทั้งหมด แต่เป็นกรณีศึกษานะครับ)

กรณีที่ 1 : คำนวณจ่ายเงินเดือน 75%
วิธีการตั้งค่ามีดังนี้ครับ
1. หน้าแฟ้มพนักงาน --> เมนูบันทึก --> ปรับเงินเดือน --> บันทึกหลายพนักงานอัตราใหม่เท่ากัน(ใช้กับเคสปรับเงินเดือนทั้งบริษัท หรือทั้งแผนกที่เลือกครับ) ถ้าต้องการปรับเงินเดือนเฉพาะพนักงานบางคนให้เลือกวิธีแรกนะครับ "บันทึกหลายพนักงานอัตราใหม่ไม่เท่ากัน" แต่วิธีนี้ต้องคำนวณมือเองแล้วคีย์อัตราใหม่ลงไปครับ

salary

 

2. ช่อง อัตราใหม่ คีย์สูตรนี้ลงไปดังรูปด้านล่างนะครับ  SALARY()*75/100

 

salary75

สามารถตรวจสอบข้อมูลการปรับเงินเดือนได้จาก เมนูปรับเงินเดือน --> บันทึกหลายพนักงานอัตราใหม่ไม่เท่ากัน --> อ่านค่าเดิม จะพบกับหน้าจอปรับอัตราเงินเดือนครับ ช่องอัตราใหม่ก็จะถูกปรับลดลง 25% เรียบร้อยแล้วดังภาพตัวอย่างครับ

check salary75

หมายเหตุ :
          1. เคสตัวอย่างนี้จะทำให้มีผลกับทั้งเงินเดือน โอที ขาดงาน ลางาน มาสาย กลับก่อนเวลา ถูกคิดที่ 75% โดยอัตโนมัติครับ
          2. สูตรนี้สามารถใช้กับพนักงานรายวันได้ด้วยนะครับเพราะ salary() คือค่าจ้างที่บันทึกไว้ในประวัติพนักงานครับ

 

กรณีที่ 2 : กรณีเงินได้-เงินหักอื่นๆ ต้องการจ่าย 75%
1. หน้าตั้งค่า --> ประเภทเงินเพิ่มเงินหัก --> ดับเบิ้ลคลิกที่ ค่าตำแหน่ง(หรือเงินได้ตัวอื่นๆที่ต้องการ)

setting1
2. ช่องคำนวณยอดเงินจากถ้าแต่เดิมเป็นสูตรนี้ QTY() ให้ใส่สูตรด้านล่างนี้แทนครับ QTY()*75/100 ดังรูปภาพด้านล่างครับ


setting2 

หมายเหตุ :ถ้าช่องคำนวณยอดเงินจากเป็นสูตรอื่นหรือต้องการสอบถามหลักการเพิ่มเติม สามารถปรึกษาผมได้ตามช่องทางการติดต่อด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ

FacebookLine

ทั้งสองกรณีที่ผมแนะนำนี้สามารถแก้ไขแล้วคำนวณได้เลยนะครับ โดยที่ไม่ต้องปรับอะไรทั้งสิ้น เช่น ค่าตำแหน่งที่คีย์ไว้ในประวัติก็ปล่อยไว้ตามเดิมครับ แก้เพียงสูตรแล้วคำนวณเงินเดือน ผลการคำนวณก็จะออกมาเป็นยอด 75% ครับ

การใช้งานโปรแกรมแปลงไฟล์ ภงด.1 RDPrep_1.1.0 (ไฟล์ .rdx สำหรับยื่นผ่านอินเตอร์เน็ต)

สำหรับลูกค้าที่ใช้งานระบบเงินเดือน BusinessPlus Payroll สามารถตั้งค่าข้อมูลตามคลิปนี้ได้เลย สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบเงินเดือนอื่นๆ สามารถดูเป็นแนวทางเพื่อตั้งค่าได้ครับ และสำหรับท่านที่ยังไม่ได้ติดตั้งโปรแกรม RDPrep_1.1.0.exe

สามารถดาวน์โหลดได้ตามลิ้งค์นี้ครับ : https://www.4shared.com/s/fb5IFj_0aiq

วิธีการติดตั้งก็ตามลิ้งค์นี้ครับ https://www.aimsuccess.co.th/news/64-install_rdprep_1-1-0.html

การติดตั้งโปรแกรมโอนย้ายข้อมูลเวอร์ชั่นใหม่ RDPrep_1.1.0 ของกรมสรรพากร

โปรแกรม RDPrep_1.1.0 เป็นโปรแกรมสำหรับโอนย้ายข้อมูล ภงด. หรือโปรแกรมแปลงไฟล์ ภงด. เพื่อนำไฟล์ที่ได้รับไปอัพโหลดยื่นแบบ ภงด. ต่างๆ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง สำหรับท่านใดที่ยังไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมสามารถดูวิธีการตามคลิปนี้ได้เลยครับ และหากยังดาวน์โหลดโปรแกรมจากเว็บสรรพากรไม่ได้

สามารถดาวน์โหลดได้จากลิ้งค์นี้ครับ : https://www.4shared.com/s/fb5IFj_0aiq

เมื่อติดตั้งเรียบร้อยแล้วสามารถเข้าไปดูวิธีการตั้งค่าและใช้งานโปรแกรมได้จาก

ลิ้งค์นี้ครับ : https://www.aimsuccess.co.th/news/65-manual_rdprep_1-1-0.html

การคำนวณประกันสังคม

อัตราค่าจ้างสูงสุดที่นำมาคิดประกันสังคมจะเท่ากับ 15,000 บาท และ อัตราค่าจ้างต่ำสุดที่นำมาคิดเท่ากับ 1,650 บาท และนำอัตราค่าจ้างของแต่ละบุคคลไป คูณ 5% ตามสูตรคำนวณดังรูปภาพข้างล่างนี้ 

1

ตัวอย่าง นายก. ได้รับค่าจ้าง 20,000 บาท ในวันที่ 30 ของทุกๆเดือน

ซึ่งนายก. จะถูกหักค่าประกันสังคมดังนี้  15,000 * 5% = 750 บาท

ดังนั้น นายก. จะถูกหักค่าประกันสังคม เดือนละ 750 บาท

**หมายเหตุ นายก. ถูกหักค่าประกันสังคม 750 บาท เนื่องจากอัตราค่าจ้างสูงสุดที่นำมาคิดประกันสังคมเท่ากับ 15,000 บาท ตามที่สำนักประกันสังคมกำหนดไว้

 

นายข. ได้รับค่าจ้าง 1,250 บาท ในวันที่ 30 ของทุกๆเดือน

ซึ่งนายข. จะถูกหักค่าประกันสังคมดังนี้  1,650 * 5% = 83 บาท

ดังนั้น นายข. จะถูกหักค่าประกันสังคม เดือนละ 83 บาท

**หมายเหตุ นายข. ถูกหักค่าประกันสังคม 83 บาท เนื่องจากอัตราค่าจ้างต่ำสุดที่นำมาคิดประกันสังคมเท่ากับ 1,650 บาท ตามที่สำนักประกันสังคมกำหนดไว้

 

2123123

ตัวอย่าง นายก. ได้รับค่าจ้าง 20,000 บาท ในวันที่ 30 ของทุกๆเดือน

ค่าประกันสังคมงวดแรก = 10,000 * 5% = 500 บาท 

ค่าประกันสังคมงวดที่ 2 = 10,000 + 10,000 =>  15,000 * 5% = 750

=750 - 500 = 250 บาท

ดังนั้น นายก. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก  500 บาท

            และจะถูกหักค่าประกันงวดที่สอง 250 บาท

**หมายเหตุ นายก. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก 500 บาท และงวดที่สอง 250 บาท เนื่องจากอัตราค่าจ้างสูงสุดที่นำมาคิดประกันสังคมเท่ากับ 15,000 บาท ตามที่สำนักประกันสังคมกำหนดไว้

 

3

 

ตัวอย่าง นายข. ได้รับค่าจ้าง 10,000 บาท ลาออกวันที่ 22 มิถุนายน 2561

ค่าประกันสังคมงวดแรก = 5,000 * 5% = 250 บาท 

ค่าประกันสังคมงวดที่ 2 = [(10,000 / 30 * 7) + 5,000] * 5% = 367

= 367 - 250 = 117 บาท

ดังนั้น นายข. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก  250 บาท

            และจะถูกหักค่าประกันงวดที่สอง 117 บาท

**หมายเหตุ นายข. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก 250 บาท และงวดที่สอง 117 บาท เนื่องจากอัตราค่าจ้างที่นำมาคิดประกันสังคมนั้นจะเท่ากับค่าจ้างที่ได้จริง ตามที่สำนักประกันสังคมกำหนดไว้

 

4

ตัวอย่าง นายข. ได้รับค่าจ้าง 15,000 บาท เข้างานวันที่ 14 มิถุนายน 2561

ค่าประกันสังคมงวดแรก = [15,000 / 30 * 2 ]  =>   1,650 * 5% = 83

ค่าประกันสังคมงวดที่ 2 = 1,000 + 7,500 = 8,500  =>  8,500 * 5% = 425

       = 425 - 83 = 342 บาท

ดังนั้น นายข. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก  83 บาท

            และจะถูกหักค่าประกันงวดที่สอง 342 บาท

**หมายเหตุ นายข. จะถูกหักค่าประกันสังคมงวดแรก 83 บาท และงวดที่สอง 342 บาท เนื่องจากอัตราค่าจ้างที่นำมาคิดประกันสังคมนั้นจะเท่ากับค่าจ้างที่ได้จริง ตามที่สำนักประกันสังคมกำหนดไว้


News4

บรจาคใหแกสถาบนอดมศกษา3

กฎหมายแรงงานว่าด้วยเรื่อง ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุด

สำหรับงานที่จำเป็นต้องทำต่อเนื่องเพราะอาจทำให้เสียหายต่อนายจ้าง หรืองานฉุกเฉิน  นายจ้างสามารถจัดให้ลูกจ้างทำค่าล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุดเท่าที่จำเป็นได้ และในกรณีที่การทำงานล่วงเวลามากกว่าสองชั่วโมง นายจ้างจะต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักอย่างน้อยยี่สิบนาที แต่ถ้าหากเป็นงานที่ต้องทำต่อเนื่องหรืองานฉุกเฉินก็สามารถทำต่อไปได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง

 

lawlabor

 

ค่าตอบแทนกรณีทำล่วงเวลาในวันทำงานปกติ

กรณีพนักงานทำงานเกินกว่าชั่วโมงงานปกติของวันทำงาน เช่น เวลางานปกติกำหนดให้พนักงานมาทำงานเวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. แต่พนักงานอาจจำเป็นต้องทำงานให้แล้วเสร็จจึงทำงานจนถึงเวลา 20.00 น. ลักษณะแบบนี้ก็เข้าข่ายที่นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงให้กับพนักงานครับ

ตัวอย่างการคำนวณค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติกรณีพนักงานรายเดือน

นาย ก. ได้รับค่าจ้าง  10,000 บาทต่อเดือน ทำค่าล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันทำงานจำนวน 3 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อเดือน หาร สามสิบ หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 1.5เท่า คูณ จำนวนชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(10,000 / 30 / 8)*1.5*3

สรุป นาย ก. ได้รับเงินค่าล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันทำงานจำนวน 187.50 บาท

ตัวอย่างการคำนวณค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติกรณีพนักงานรายวัน

นาย ข. ค่าจ้าง  350 บาทต่อวัน ทำค่าล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันทำงานจำนวน 3 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อวัน หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 1.5 เท่า คูณ ชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(350 / 8)*1.5*3

สรุป นาย ข. ได้รับเงินค่าล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันทำงานจำนวน 196.87 บาท

 

ค่าตอบแทนกรณีทำล่วงเวลาในวันหยุด

กรณีพนักงานทำงานเกินกว่าชั่วโมงงานปกติในวันหยุด เช่น เวลางานปกติในวันหยุดกำหนดให้พนักงานมาทำงานเวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. แต่พนักงานอาจจำเป็นต้องทำงานให้แล้วเสร็จจึงทำงานจนถึงเวลา 20.00 น. ลักษณะแบบนี้ก็เข้าข่ายที่นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา 3 เท่าของค่าจ้างต่อชั่วโมงให้กับพนักงานครับ(วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น)

ตัวอย่างการคำนวณค่าล่วงเวลาในวันหยุดกรณีพนักงานรายเดือน

นาย ก. ค่าจ้าง  10,000 บาทต่อเดือน ทำล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันหยุดจำนวน 3 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อเดือน หาร สามสิบ หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 3 เท่า คูณ ชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(10,000 / 30 / 8)*3*3

สรุปนาย ก. ได้รับเงินค่าล่วงเวลาในวันหยุดจำนวน 375 บาท

ตัวอย่างการคำนวณค่าล่วงเวลาในวันหยุดกรณีพนักงานรายวัน

นาย ข. ค่าจ้าง  350 บาทต่อวัน ทำล่วงเวลาหลังเลิกงานในวันหยุดจำนวน 3 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อวัน หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 3 เท่า คูณ ชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(350 / 8)*3*3

สรุป นาย ข. ได้รับเงินค่าล่วงเวลาในวันหยุดจำนวน 393.75 บาท

 

ค่าตอบแทนกรณีทำงานในวันหยุด

กรณีพนักงานมาทำงานตามเวลางานปกติในวันหยุด เช่น เวลางานปกติในวันหยุดกำหนดให้พนักงานมาทำงานเวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. กรณีเช่นนี้พนักงานมีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด (วันหยุดนักขัตฤกษ์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น) โดยอัตราการจ่ายค่าทำงานในวันหยุดแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้

1. สำหรับลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด เช่น พนักงานรายเดือน จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานในวันหยุดไม่น้อยกว่า 1 เท่า

2. สำหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด เช่น พนักงานรายวัน จะได้รับค่าตอบแทนการทำงานในวันหยุดไม่น้อยกว่า 2 เท่า

ตัวอย่างการคำนวณค่าทำงานในวันหยุดกรณีพนักงานรายเดือน

นาย ก. ค่าจ้าง  10,000 บาทต่อเดือน ทำงานตามเวลางานปกติในวันหยุดจำนวน 8 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อเดือน หาร สามสิบ หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 1 เท่า คูณ ชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(10,000 / 30 / 8)*1*8

สรุปนาย ก. ได้รับเงินค่าทำงานในวันหยุดจำนวน 333.33 บาท

ตัวอย่างการคำนวณค่าทำงานในวันหยุดกรณีพนักงานรายวัน

นาย ข. ค่าจ้าง  350 บาทต่อวัน ทำงานตามเวลางานปกติในวันหยุดจำนวน 8 ชั่วโมง

สูตรการคำนวณ    = (ค่าจ้างต่อวัน หาร ชั่วโมงงานปกติ) คูณ 2 เท่า คูณ ชั่วโมงที่ทำโอที

วิธีการคำนวณ      =(350 / 8)*2*8

สรุปนาย ข. ได้รับเงินค่าทำงานในวันหยุดจำนวน 700 บาท

 

เรียบเรียงโดย : บริษัท เอมซัคเซส จำกัด

ขอบคุณข้อมูล : กระทรวงแรงงาน

สิทธิประโยชน์ กรณีผู้ประกันตนคลอดบุตร

เงื่อนไขมีดังนี้

ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า  5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนที่คลอดบุตร หมายความว่าเดือนที่คลอดบุตรไม่นับสิทธินะครับ แต่นับย้อนหลังไป 15 เดือนว่าได้นำส่งเงินสมทบมาครบ 5 เดือนหรือไม่ ถ้าครบก็จะได้รับสิทธิครับ

ssokrodboot

สิทธิที่ได้รับ

  • ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่าย 13,000 บาทต่อการคลอดบุตร 1 ครั้งกรณีสามี ภรรยา เป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ก็ให้ใช้สิทธิเฉพาะคนใด คนหนึ่งเท่านั้นนะครับ ไม่จำกัดจำนวนบุตร
  • ผู้ประกันตนผู้หญิงสามารถรับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตรเหมาจ่ายร้อยละ 50 ของค่าจ้างที่นำส่งประกันสังคม จ่ายให้ 90 วันครับ แต่บุตรคนที่ 3 ไม่ได้รับสิทธิดังกล่าวนี้แล้วนะครับ ได้เพียงสองคนแรกเท่านั้น

หมายเหตุ   หากผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนไม่เห็นด้วยกับการสั่งจ่ายประโยชน์ทดแทน สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
สถานที่ยื่นเรื่อง
ยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)

เรียบเรียงโดย : บริษัท เอมซัคเซส จำกัด

ขอบคุณข้อมูล : สำนักงานประกันสังคม

การขอรับสิทธิ กรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ

1. กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เมื่อจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเดือนถึงแก่ความตาย
2. สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนที่จงใจทำให้ตนเองบาดเจ็บ ทุพพลภาพและตาย หรือยินยอมให้ผู้อื่นก่อให้เกิดขึ้น
ประโยชน์ทดแทนกรณีตาย ได้แก่
        1. ค่าทำศพ 40,000 บาท โดยจ่ายให้แก่ผู้จัดการศพ
ใครคือผู้จัดการศพ
         (ก) บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน
         (ข) สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน
         (ค) บุคคลอื่นซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน
        2. เงินสงเคราะห์กรณีตาย
•    เงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น  แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่ สามีหรือภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน ดังนี้     
1. ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป  แต่ไม่ถึง 120 เดือน ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
2. ถ้าก่อนถึงแก่ความตายผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน
ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตายได้แก่
           บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่ สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน
* กรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต ทายาทผู้มีสิทธิสามารถขอรับคืนเงินกรณีชราภาพคืนได้ภายใน 2 ปี (ดูรายละเอียดในกรณีชราภาพ)

เรียบเรียงโดย บริษัท เอมซัคเซส จำกัด

ขอบคุณข้อมูล  สำนักงานประกันสังคม

                

พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 60 ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดอัตราโทษสำหรับนายจ้างและแรงงานต่างด้าวไว้ค่อนข้างสูง ฉะนั้นนายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าวทำงานอยู่จะต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามข้อกำหนดว่าด้วยข้อตกลง MOU โดยประกอบด้วยแรงงานจากประเทศ พม่า ลาว และกัมพูชา แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายในประเทศไทยประกอบด้วย 2 ประเภทคือ

1.มีบัตรชมพู โดยบัตรชมพูออกให้ตั้งแต่ปี 57 เพื่อให้แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบของกรมแรงงานอย่างถูกต้อง มีอายุ 2 ปี และเปิดให้ต่ออายุแล้วในปี 59 ทุกใบจะหมดอายุ 31 มี.ค. 61ในระหว่างนี้นายจ้างหรือแรงงานต่างด้าวจะต้องดำเนินการขอใบอนุญาตเข้ามาทำงานตามข้อตกลง MOU ให้เรียบร้อย

ข้อควรระวังของบัตรชมพูคือ เนื่องจากบัตรชมพูมีการระบุสถานที่ทำงานไว้อย่างชัดเจน หากมีการย้ายหรือเปลี่ยนสถานที่ทำงานจะต้องแจ้งกรมการจัดหางานเพื่อออกหนังสือรับรองการย้ายสถานที่ทำงานด้วย

2.แรงงานที่มี Passport ประทับตราวีซ่าแรงงานในหนังสือเดินทางและใบอนุญาตการทำงานของแรงงาน พม่า ลาว และกัมพูชา อยู่ได้ 4 ปี โดยแรงงานประเภทนี้เป็นแรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตรงตามข้อตกลง MOU

สำหรับการขอโควตาแรงงานต่างด้าวเพื่อให้ถูกต้องตามข้อตกลง MOU ประกอบด้วยขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้

1.นายจ้างยื่นคำร้องที่แรงงานจังหวัด ว่าต้องการโควตาแรงงานต่างด้าวจำนวนกี่คน

2.นำใบโควตาที่ได้ยื่นกับ กรมแรงงานกรุงเทพฯ

3.กรมแรงงานทำเรื่องแจ้งไปที่ สถานทูตประเทศนั้นๆ

4.สถานทูตจะจัดหาแรงงานผ่าน เอเจนซี่ภายในประเทศ

5.เอเจนซี่ส่งรายชื่อมายังนายจ้าง นายจ้างจะต้องขอใบอนุญาตที่กรมแรงงานอีกครั้ง

6.เมื่อกรมแรงงานอนุมัติแล้วจะส่งรายชื่อแรงงานที่เอเจนซี่จัดหาให้ไปยังสถานทูตไทยประจำประเทศนั้นๆ เพื่อให้ออก วีซ่าการทำงานให้ จากนั้นกรมแรงงานก็ยังต้องทำหนังสือแจ้งไปที่ตรวจคนเข้าเมืองให้ตรวจสอบชื่อแรงงานดังกล่าว หากตรงกันให้ประทับตรากำกับว่าเข้ามาทำงาน เมื่อแรงงานเข้ามาถึงไทยแล้ว จะต้องตรวจร่างกาย อบรม และสามารถทำงานตามปกติได้

อัตราโทษสำหรับนายจ้างและแรงงานมีดังนี้

  1. นายจ้างที่รับคนต่างด้าวทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ หรือ รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือรับคนต่างด้าวซึ่งไม่มีใบอนุญาตทำงานกับตนเข้าทำงาน

มีโทษปรับตั้งแต่ 400,000 – 800,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน

  1. นายจ้างใดให้คนต่างด้าวทำงานไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต

มีโทษปรับไม่เกิน 400,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน

  1. คนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน หรือทำงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  1. คนต่างด้าวที่ทำงานจำเป็นและเร่งด่วนแต่ไม่แจ้งนายทะเบียน

มีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท

  1. คนต่างด้าวทำงานแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต

มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

  1. ผู้ใดยึดใบอนุญาตทำงาน หรือเอกสารสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว

มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

  1. ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ

มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000-1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คนหรือทั้งจำทั้งปรับ

  1. ผู้ใดประกอบธุรกิจนำคนต่างด้าวมาทำงาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมการจัดหางาน

มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000-600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

ที่มา : http://www.krudontee.com/th/site-map/articles/99-nanasara/192-labor.html

 

การขอรับสิทธิ เงินทดแทนการขาดรายได้

              ในกรณีที่มีการหยุดงานเพื่อรักษาพยาบาลตามคำสั่งของแพทย์ เมื่อผู้ประกันตนลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างครบ 30 วันแล้ว และมีคำสั่งจากแพทย์ให้หยุดงานต่อไปอีก สามารถใช้สิทธิขอรับ “เงินทดแทนการขาดรายได้” จากสำนักงานประกันสังคมได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 90 วันจ่ายให้ปีละไม่เกิน  180 วัน แต่ถ้าหากเป็นโรคเรื้อรังได้ไม่เกิน 365 วัน หลังจากที่รับเงินสวัสดิการอื่นๆ ของบริษัทครบแล้ว จะได้รับสิทธิเงินทดแทนการขาดรายได้เท่ากับระยะเวลาคงเหลือ โดยโรคเรื้อรังกำหนดไว้ 6 รายการดังนี้ครับ

1.  โรคมะเร็ง

2.  โรคไตวายเรื้อรัง

3.  โรคเอดส์

4.  โรคหรือการบดเจ็บของสมองหรือกระดูกสันหลังอันเป็นเหตุให้เป็นอัมพาต

5.  ความผิดปกติของกระดูกที่มีภาวะแทรกซ้อน

6.  โรคอื่นหรือการเจ็บป่วยอื่นๆ ที่ต้องรักษาติดต่อกันนานกว่า 180 วัน

             เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เมื่อทราบอย่างนี้แล้วอย่าลืมรักษาสิทธิของตนกันนะครับ อย่างน้อยก็สามารถช่วยชดเชยการขาดรายได้ในช่วงที่เราเจ็บป่วยได้บ้าง

 

 

เรียบเรียงโดย บริษัท เอมซัคเซส จำกัด

ขอบคุณข้อมูล  สำนักงานประกันสังคม

                

หลักเกณฑ์ที่ทำให้ได้สิทธิสงเคราะห์บุตรคือ

  1. ภายในระยะเวลา 36 เดือน จะต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
  2. ต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

สิทธิประโยชน์ที่ได้มีดังนี้

  1.  เงินสงเคราะห์บุตรจะได้รับจนถึงอายุ 6 ปี คราวละไม่เกิน 3 คน
  2. เงินดังกล่าวจะได้รับแบเหมาจ่ายเดือนละ 400 บาทต่อบุตรหนึ่งคน
  3. ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพหรือถึงแก่ความตายในขณะที่บุตรมีอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ ยังมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรต่อจนอายุ 6 ปีบริบูรณ์

การหมดสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตร

  1. เมื่อบุตรอายุครบ 6 ปี
  2. บุตรเสียชีวิต
  3. ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมคนอื่น
  4. ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง

ที่มา  : สำนักงานประกันสังคม

เรียบเรียงโดย : aimsuccess co.,ltd

                

สิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีว่างงาน

                ในบทความนี้แอดมินจะมาพูดถึงสิทธิประโยชน์กรณีผู้ประกันตนว่างงานครับ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นสำหรับพนักงานอย่างเรา ผมจึงจำแนกเงื่อนไขและสิทธิต่างๆออกมาเป็นข้อๆให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานได้

  1. จะต้องส่งเงินสมทบประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน
  2. การว่างงานต้องเกิดขึ้นจากการลาออก ถูกเลิกจ้างหรือการสิ้นสุดระยะเวลาจ้าง
  3. ว่างงานจากกรณีที่สถานประกอบการเกิดเหตุสุดวิสัยโดยยังไม่มีการเลิกจ้าง เช่น น้ำท่วม

ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานไม่ได้

  1. การออกจากงานโดยการกระทำผิดกฎหมาย
  2. การทุจริตต่อหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้าง
  3. จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
  4. ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในการทำงาน
  5. ละทิ้งหน้าที่เกิน 7 วันโดยไม่มีเหตุอันควร
  6. ประมาทก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้างอย่างร้ายแรง
  7. ได้รับโทษจำคุก
  8. เป็นผู้ได้รับสิทธิกรณีชราภาพ
  9. ไม่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39

ข้อปฏิบัติกรณีว่างงาน

  1. การขึ้นทะเบียนว่างงานต้องทำภายใน 30 วันนับจากวันที่ว่างงาน
  2. ต้องพร้อมทำงานตามความเหมาะสมตามที่สำนักงานจัดหางานหาให้
  3. ต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน
  4. จะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เดือนละ 1 ครั้ง

สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ

กรณีถูกเลิกจ้าง : จะได้รับเงินทดแทน 180 วันต่อปีในอัตรา 50% ของค่าจ้างที่นำมาคิดประกันสังคม

ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 17,000 บาท คำนวณเงินทดแทนโดยนำ 15,000x50% = 7,500 บาทต่อเดือน

หมายเหตุ : เงินเดือนสูงสุดที่นำมาคิดประกันสังคมปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาท ต่ำสุด 1,650 บาท

กรณีลาออก หรือสิ้นสุดระยะเวลาจ้าง : จะได้รับเงินทดแทน 90 วันต่อปี ในอัตรา 30% ของค่าจ้างที่นำมาคิดประกันสังคม

ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 10,000 บาท คำนวณเงินทดแทนโดย 10,000x30% = 3,000 บาทต่อเดือน

หมายเหตุ : เงินเดือนสูงสุดที่นำมาคิดประกันสังคมปัจจุบันอยู่ที่ 15,000 บาท ต่ำสุด 1,650 บาท

                อย่าลืมนะครับกรณีว่างงานสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานกับสำนักงานจัดหางานภายใน 30 วัน หากไม่ได้แจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนดก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีว่างงานครับ

 

 

ที่มา  : สำนักงานประกันสังคม

เรียบเรียงโดย : aimsuccess co.,ltd

                

 

      ข้อควรระวัง ในกรณีหักลดหย่อนบิดามารดาผู้มีเงินได้

      1. กฎหมายให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีแก่บุตรได้เพียงคนเดียว ตามตัวอย่างด้านล่างครับ

      ตัวอย่าง นาย A มีพี่น้องคือ B และ C สามารถแจ้งขอลดหย่อนได้ดังนี้

      กรณีนาย A ใช้สิทธิหักลดหย่อนทั้งบิดาและมารดาไปแล้ว นาย B และ C จะไม่สามารถแจ้งขอลดหย่อนได้

      กรณีนาย A ใช้สิทธิลดหย่อนเฉพาะบิดา นายB หรือ C คนใดคนหนึ่งสามารถแจ้งขอลดหย่อน มารดาได้

      2. บิดามารดาต้องมีอายุครบ 60 ปี ในปีภาษีที่หักลดหย่อน กรณีการนับอายุจะต้องนับให้ครบ 60 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษีที่ต้องการแจ้งขอลดหย่อนเท่านั้น

      3. บิดามารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนเกิน 30,001 บาท หากเกินไม่สามารถลดหย่อนบิดามารดาได้ เป็นอย่างไรบ้างครับ

            ดูเงื่อนไขของกฎหมายแล้วอย่าลืมตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนการขอลดหย่อนข้อดังกล่าวนี้นะครับ ส่วนกรณีที่มีพี่น้องหลายคนจะต้องตกลงกันให้ได้ครับว่าใครจะเป็นผู้ที่ใช้สิทธิ์ หากไม่สามารถตกลงกันได้สรรพากรแจ้งว่าบุตรผู้มีเงินได้ทุกคนไม่มีสิทธิ์หักลดหย่อนข้อนี้ครับ

การหักลดหย่อนกรณีบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการศึกษา 

         

          การนำเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษามาหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีนั้น จะต้องตรงตามข้อกำหนดของกรมสรรพากรด้วยนะครับ วันนี้ผมจึงนำรายละเอียดและเงื่อนไขการหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาให้ศึกษากันครับ

          การบริจาคให้กับสถานศึกษาจะต้องตรงตามรายชื่อสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศกำหนด และไม่เป็นการบริจาคเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อผู้ใดโดยเฉพาะ เช่น การจ่ายค่าเทอม การซื้ออุปกรณ์การเรียน ค่าเรียนพิเศษ กรณีดังกล่าวนี้ไม่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้นะครับ เงินบริจาคเพื่อสถานศึกษาสามารถนำมายกเว้นภาษีได้เป็นจำนวน 2  ท่า แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมิน

การบริจาคให้สถานศึกษาที่เข้าข่ายนำมาหักค่าใช้จ่ายได้มีดังนี้

  1. จัดหาหรือจัดสร้างอาคาร อาคารพร้อมที่ดิน หรือที่ดินให้แก่สถานศึกษา
  2. จัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อการศึกษา แบบเรียน ตำรา หนังสือ สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตลอดจนวัสดุอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
  3. จัดหาครู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา การประดิษฐ์ การพัฒนา การค้นคว้าหรือการวิจัยสำหรับนักเรียนนักศึกษา

โดยจะต้องแนบใบเสร็จรับเงินของสถานศึกษานั้นๆ “สถานศึกษาจะต้องระบุคำว่า เงินบริจาคเพื่อ...ข้อ1,ข้อ2หรือข้อ3” ในใบเสร็จรับเงินด้วยครับ

 

 

ที่มา : กรมสรรพากร

 

 

ขั้นตอนการชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment 

 

 

     ข้อมูล ณ วันที่ 04/05/2017

สปส.ดำเนินการตามนโยบาย Doing Business เร่งรณรงค์ให้นายจ้างชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment 

          นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในส่วนของการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ Doing Business โดยสำนักงานประกันสังคม ได้เร่งรณรงค์ให้นายจ้างดำเนินการชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Payment ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่ใช้แบบแสดงรายการที่เป็นเอกสารแต่อย่างใด โดยในปัจจุบันนายจ้าง สามารถเลือกชำระเงินสมทบผ่านช่องทางการหักบัญชีธนาคาร จำนวน 7 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารจะออกใบเสร็จรับเงินพร้อมทั้งจัดส่งให้นายจ้างทางไปรษณีย์ต่อไป 
          นายสุรเดช กล่าวต่อไปว่า ขั้นตอนการชำระเงินสมทบของนายจ้างผ่านระบบ e-Payment ของสำนักงานประกันสังคมสามารถทำได้โดยง่าย เพียงกรอกแบบคำขอผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม (www.sso.go.th) และระบบจะจัดส่ง Username และ Password ให้กับนายจ้างผ่านทาง e-mail พร้อมทั้งติดต่อธนาคารเพื่อทำความตกลงชำระเงินสมทบด้วยวิธีหักบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยนายจ้างสามารถ login เพื่อการดำเนินการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับสำนักงานประกันสังคมได้ทันที นอกจากการส่งข้อมูลการยื่นชำระเงินสมทบแล้ว นายจ้างสามารถใช้บริการในงานขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03) การแจ้งเข้าทำงาน (สปส. 1-03/1) การแจ้งลาออก (สปส. 6-09) และการแจ้งเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงผู้ประกันตน (สปส. 6-10) ผ่านระบบ Internet ได้ด้วย
          สำนักงานประกันสังคมมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการในทุกรูปแบบ เพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ซึ่งการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเข้ามามีส่วนในการให้บริการ อีกทั้ง มีการศึกษารูปแบบการให้บริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับระบบเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีการพัฒนาอย่างก้าวล้ำในยุคดิจิตอล โดยคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล และอำนวยความสะดวกให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ให้ได้รับบริการที่เป็นเลิศและยังเป็นการป้องกันการเกิดทุจริตคอร์รัปชั่นในการทำงานภาครัฐ ตามนโยบายรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ นายจ้าง ผู้ประกันตน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.sso.go.th หรือ โทร.1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการ ตลอด 24 ชั่วโมง)
 
ข้อมูล ณ วันที่ 04/05/2017
อ้างอิงข้อมูล สำนักงานประกันสังคม

 

การคำนวณเงินเดือนพนักงานรายวัน

                การจ่ายเงินสำหรับพนักงานรายวันกับรายเดือนนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้างครับ เช่น พนักงานรายวันจะได้รับเงินเฉพาะวันที่ตนเองมาทำงานเท่านั้น วันหยุดหากไม่มาทำงานก็ไม่ได้รับเงินครับ  ส่วนพนักงานรายเดือนความหมายก็ตรงตามชื่อเรียกครับ คือรับเงินเป็นเดือน แม้จะมีวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์เกิดขึ้นในเดือนนั้นก็ยังได้รับเงินเดือนเหมือนเดิมครับ สำหรับบทความนี้ผมจะขอพูดถึงการคำนวณเงินเดือนสำหรับพนักงานรายวัน สามารถศึกษาได้จากตัวอย่างด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ตัวอย่างที่ 1 เป็นการนับจำนวนวันที่พนักงานมาทำงานจริงโดยไม่เก็บรายละเอียดว่าเหตุใดพนักงานจึงไม่มาทำงาน เช่น นาย ก.  ได้รับค่าแรงวันละ 300 บาท ในรอบวันที่ 1-30 พฤศจิกายน นาย ก. มาทำงานทั้งหมด 23 วัน

คำนวณโดย

ค่าแรงต่อวัน จำนวนวันทำงาน

300 x  23

นาย ก. ได้รับค่าแรง 6,900  บาท

                  ในตัวอย่างนี้จะไม่สามารถเก็บสถิติการขาดงาน ลางาน หรือมาสายไว้ประเมินผลพนักงานได้ครับ 

ตัวอย่างที่ 2 นับวันที่พนักงานจะต้องมาทำงานทั้งหมด ในกรณีนี้คือการกำหนดไว้ว่าในเดือนนั้นพนักงานจะต้องมาทำงานทั้งหมดกี่วัน  หากพนักงานไม่มาทำงานก็จะต้องแจ้งเหตุผลการไม่มาทำงานเช่น ลาป่วย ลากิจ เพื่อให้ฝ่ายบุคคลสามารถเก็บสถิติไว้ประเมินผลพนักงานได้ครับ เช่น นาย ก.  ได้รับค่าแรงวันละ 300 บาท ในรอบวันที่ 1-30 พฤศจิกายน วันที่ต้องมาทำงานทั้งหมดมี 26 วัน นาย ก.ลาป่วย 2 วัน และขาดงาน 1 วัน

 

คำนวณโดย

(ค่าแรงต่อวัน จำนวนวันทำงาน)-(ขาด+ลา)

(300 x  26)-(3 x 300)

7,800 - 900

นาย ก. จะได้รับค่าแรง 6,900  บาท

                ทั้งสองกรณีให้ผลลัพธ์ที่เท่ากันนะครับ แต่ต่างกันที่กรณีที่ 2  สามารถเก็บสถิติการลาเอาไว้เพื่อประเมินผลพนักงาน หรือนำไปใช้เพื่อตรวจสอบสิทธิการลาตามกฎหมายแรงงานได้ครับ ส่วนการนำไปใช้จริงนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัทและให้สอดคล้องกับกฎหมายด้วยนะครับ

 

เวลาทำงานและวันหยุด

          สิทธิที่พนักงานหรือลูกจ้างควรให้ความสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ สิทธิเรื่องเวลาทำงานและวันหยุด เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทกฎหมายได้มีการกำหนดมาตรฐานเวลาทำงานไว้แตกต่างกัน รวมถึงสิทธิวันหยุด   ที่พึงได้รับตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งสองส่วนนี้มีผลต่อการจ่ายค่าจ้าง โดยรายละเอียดความคุ้มครองมีดังนี้

1.  เวลาทำงาน

>> ไม่เกิน 8ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 48ชั่วโมงต่อสัปดาห์

>> งานอันตรายตามที่กำหนดในกฎกระทรวงไม่เกิน 7ชั่วโมงต่อวัน และไม่เกิน 42ชั่วโมงต่อสัปดาห์

 

 

2.  เวลาพัก

>> ในวันที่มีการทำงานให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักติดต่อกันไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมงภายใน5ชั่วโมงแรกของการทำงาน

>> นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ 1ชั่วโมง ก็ได้แต่ต้องไม่น้อยกว่าครั้งละ 20นาทีและเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าวันละ1ชั่วโมง

>> กรณี งานในหน้าที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไป หรือเป็นงานฉุกเฉินโดยจะหยุดเสียมิได้นายจ้างจะไม่จัดเวลาพักให้ลูกจ้างก็ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง

3.  วันหยุดประจำสัปดาห์

>> ต้องไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1วัน โดยมีระยะห่างกันไม่เกิน 6วัน

>> ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ (ยกเว้นลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมงหรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย)

>> นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้า กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์วันใดก็ได้

>> งาน โรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร (งานประมงงานดับเพลิง) งานอื่นตามที่กฎกระทรวงฯ กำหนดนายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้า สะสมและเลื่อนวันหยุดประจำสัปดาห์ไปเมื่อไดก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะเวลา ไม่เกิน  4สัปดาห์ติดต่อกัน

>> กรณีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่แน่นอน ให้นายจ้างประกาศวันหยุดให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วันและแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานตรวจแรงงานทราบภายใน7วัน นับแต่วันที่ประกาศกำหนด

4.  วันหยุดตามประเพณี

>> ต้อง ไม่น้อยกว่าปีละ 13วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย ถ้าวันหยุด ตามประเพณีตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป

>> ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี

          เมื่อได้ทราบถึงความสำคัญเรื่องวันทำงานและวันหยุดแล้ว ลูกจ้างอย่างเราควรให้ความสำคัญและรักษาสิทธิ์ของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากนายจ้างได้